แชร์

เลี้ยงลูกด้วยจอ ส่งผลต่อพัฒนาการอย่างไร ? 

เลี้ยงลูกด้วยจอ ส่งผลต่อพัฒนาการอย่างไร ? 

       ในยุคปัจจุบันที่สื่ออิเล็กทรอนิกส์เข้ามามีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของทุกคน หนึ่งในนั้นรวมไปถึงการเลี้ยงเด็กด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ แท็บแล็ต และโทรทัศน์ จากการศึกษาพฤติกรรมการใช้จอของเด็ก วัย 0-3 ปี 

       ในเขตกรุงเทพมหานคร พบว่ามีปริมาณการใช้หน้าจอประเภทโทรทัศน์และโทรศัพท์มือถือประมาณ 60.8% และ 63.4% ตามลำดับ ส่วนใหญ่ในกลุ่มเด็กที่ดูโทรทัศน์พบว่าผู้ปกครองให้เด็กใช้สื่อตั้งแต่แรกเกิดเลย และจากการศึกษาระยะเวลาการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พบว่ามีปริมาณการใช้โทรทัศน์สูงสุด มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 50.3 นาทีต่อวัน

      รองลงมา คือ แท็บเล็ตและโทรศัพท์มือถือ โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 40.40 นาทีต่อวัน นอกจากนี้ยังมีการศึกษาสถานที่นอนของเด็กที่มีความสัมพันธ์กับบุคคลในครอบครัว พบว่าเด็กที่นอนกับปู่ ย่า ตา และยายมีปริมาณการใช้แท็บเล็ตและโทรศัพท์มือถือสูงที่สุด

เด็กที่มีปัญหาการพูดเกี่ยวกับการดูจอหรือไม่ ?

        ส่วนใหญ่เด็กที่มีพัฒนาการด้านภาษาล่าช้า มักเกิดจากการเลี้ยงดูและสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมในช่วง 1-2 ปีแรก เนื่องจากสมองของเด็กวัยแรก 2 ปี มีการพัฒนาและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้นช่วงเวลานี้จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากที่จะพัฒนาศักยภาพของเด็ก ทางสถาบัน American Academy of Pediatrics ได้ให้คำแนะนำว่าไม่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ดูโทรทัศน์หรือใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ เพื่อความบันเทิง
        สาเหตุสำคัญที่ทำให้พัฒนาการด้านภาษาล่าช้า เกิดจากการที่ไม่มีสิ่งแวดล้อมไปกระตุ้นพัฒนาการด้านการพูดเลย ซึ่งสิ่งแวดล้อมที่กล่าวถึง คือ ผู้ปกครอง หรือคนในครอบครัว ในลักษณะของการไม่มีคนชวนพูดคุย เพื่อเป็นต้นแบบเสียงให้เด็กได้ยินได้คุ้นเคยกับเสียง ได้พยายามเลียนเสียงจากที่ได้ฟังมา ทำให้เด็กไม่เกิดการพัฒนาทักษะ การเปล่งเสียง ความเข้าใจภาษา และการพูดสื่อความหมาย 
       สิ่งแวดล้อมอื่นที่ไปขัดขวางพัฒนาการอีกอย่างหนึ่ง คือ หน้าจอสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในเด็กที่ดูจอตั้งแต่วัยทารก โดยผู้ปกครองมักจะปล่อยให้ เด็กดูตามลำพังด้วยความเข้าใจว่าเป็นวิธีการเลี้ยงที่ง่าย สามารถช่วยหยุดการร้องโวยวายของเด็กได้ แต่จริง ๆ แล้วนั้นขณะที่เด็กดูหน้าจอ ตัวเด็กเองยังไม่ได้มีความเข้าใจความหมายของสื่อที่ดูเลยไม่ว่าจะเป็นเพลงและการ์ตูน แค่สนุกไปตามสิ่งที่ตนเองเห็น ทำให้พัฒนาการด้านต่าง ๆ ที่ควรจะกระตุ้นในช่วงเวลานี้ไม่เป็นไปตามวัย สรุปได้ว่าการปล่อยให้เด็กดูจอเพียงลำพัง ส่งผลให้เกิดการปิดกั้นพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็กโดยทันที แสดงออกมาเป็นพฤติกรรมไม่สนใจฟังเสียงอื่นๆหรือเสียงเรียกชื่อของตนเอง ต้องการใช้เวลาในการดูจอมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อถูกขัดใจมักจะอารมณ์ร้าย หงุดหงิดง่าย ไปจนถึงอาจมีพฤติกรรมทำร้ายคนอื่น

         เพราะฉะนั้นผู้ปกครองมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นพัฒนาการ โดยเน้นการพูดคุยกับเด็กบ่อย ๆ กระตุ้นให้เด็กโต้ตอบ อ่านนิทาน แสดงอารมณ์และความรู้สึกอย่างชัดเจนทำกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการร่วมกัน และพาเด็กเข้าสังคมเจอเพื่อนในวัยเดียวกัน

ทำไมเด็กบางคนดูจอแต่พัฒนาการถึงสมวัย ? 

       คำถามที่ผู้ปกครองมักสงสัย คือ เลี้ยงลูกมาสองคนเหมือนกัน ให้ดูจอทั้งคู่เลย ทำไมคนหนึ่งเป็น แล้วอีกคนถึงไม่เป็นล่ะ 
       สามารถอธิบายข้อสงสัยนี้ได้ว่า การติดจอที่ส่งผลต่อพัฒนาการล่าช้า ไม่ได้เกิดขึ้นกับเด็กทุกคน เป็นเพราะว่าในเด็กที่มีปัญหาการดูจอบางคนมีแนวโน้วที่จะเป็นออทิสติกอยู่แล้วแต่ยังไม่แสดงอาการที่ชัดเจนมาก ทำให้อาจจะไม่สามารถสังเกตความผิดปกติของอาการได้เลย ซึ่งการดูจอเป็นสิ่งเร้าที่ไปกระตุ้นให้เกิดอาการขึ้นแล้วทำให้แสดงอาการออกมาชัดเจนมากขึ้นและจากที่เราทราบกันดีแล้วว่า

สาเหตุของการเป็นออทิสติกแบ่งออกเป็น 3 สาเหตุหลัก ได้แก่ 
1.กรรมพันธุ์ เกิดจากความผิดปกติของยีนส์หลายตำแหน่ง 
2.การตั้งครรภ์และสภาพแวดล้อมหลังการคลอด ในช่วง 1-2 ปีแรก 
3.ปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้เกิดอาการท้องผูกและท้องเสียบ่อย ๆ และปัญหาเรื่องภูมิต้านทานที่ส่งผลต่อสมองโดยตรง จากสาเหตุที่กล่าวมาร่วมกับการติดจอเสริมกันหลายปัญหา ทำให้พัฒนาการด้านต่าง ๆ บกพร่องไป 


อ้างอิง
สายน้อย คำชู. (2564). การพัฒนาโมเดลประสิทธิผลการเลี้ยงดูเด็กพูดช้าจากการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ด้วยโปรแกรมพุทธจิตวิทยาการปรับพฤติกรรม. สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี, 1, หน้า 194-195.

อภิรพี เศรษฐรักษ์ ตันเจริญวงศ์, ศรีรัฐ ภักดีรณชิต และ ญาณวุฒิ เศวตธิติกุล. (2561). พฤติกรรมการใช้หน้าจอของเด็กไทยวัย 0-3 ปี ในเขตกรุงเทพมหานคร. วารสารวิชาการนวัตกรรมสื่อสารสังคม, 2, หน้า 60-62.


บทความที่เกี่ยวข้อง
4 วิธีช่วยให้ลูกออทิสติกผ่านวันหยุดไปได้อย่างราบรื่น
สำหรับบางครอบครัว โดยเฉพาะครอบครัวที่มีลูกเป็นออทิสติก ช่วงวันหยุดกลับกลายเป็นช่วงที่เต็มไปด้วยความเครียดและความกังวล เพราะพ่อแม่มักกังวลว่าประเพณีและความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในกิจวัตรประจำวัน จะส่งผลอย่างไรกับลูกของตน
ภาวะการแพ้กลูเตน และโรคเซลิแอค กับ เด็กออทิสติก
•กลูเตนคือโปรตีนที่พบในข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์ และมอลต์ •ใช้เป็นสารเพิ่มความหนืด รสชาติ หรือความคงตัวในอาหาร •แม้ข้าวโอ๊ตจะไม่มีกลูเตนโดยธรรมชาติ แต่เสี่ยงปนเปื้อน จึงมักแนะนำให้หลีกเลี่ยง •อาหารที่มักมีกลูเตน ได้แก่ พิซซ่า แครกเกอร์ พาสต้า คุกกี้ ขนมปัง เบเกิล และเบียร์
10 อันดับน้ำมันหอมระเหยที่ดีสำหรับเด็กออทิสติก และ เด็กสมาธิสั้น
น้ำมันหอมระเหย (Essential oils) คือของเหลวที่กลั่นจากส่วนต่างๆ ของพืช เช่น ใบ ดอก เปลือกไม้ ราก ฯลฯ ใช้บำบัดทั้งทางร่างกายและจิตใจ
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy