การรักษาโรคซึมเศร้าด้วย TMS

การรักษาโรคซึมเศร้าด้วย TMS
โรคซึมเศร้าเป็นหนึ่งในภาวะสุขภาพจิตที่พบได้บ่อยที่สุดในสังคมปัจจุบัน และสามารถส่งผลกระทบต่อการทำงาน ความสัมพันธ์ และคุณภาพชีวิตในทุกด้าน การรักษามาตรฐาน เช่น ยาต้านซึมเศร้าและจิตบำบัด ช่วยผู้ป่วยจำนวนมากได้ดี แต่ยังมีผู้ป่วยอีกจำนวนไม่น้อยที่อาการไม่ดีขึ้นเพียงพอ หรือมีผลข้างเคียงจากยา ทำให้การรักษาไม่ต่อเนื่อง
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก หรือ TMS (Transcranial Magnetic Stimulation) กลายเป็นหนึ่งในทางเลือกการรักษาที่มีหลักฐานชัดเจนว่าช่วยลดอาการซึมเศร้าได้ โดยเฉพาะในผู้ที่ตอบสนองต่อยาไม่ดี (treatment-resistant depression) และเป็นเทคนิคที่ปลอดภัย ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องใช้ยาร่วมเสมอไป
ในที่นี้ ขอสรุปข้อมูลล่าสุดจากงานวิจัยระดับสากล และอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุดสำหรับประชาชน เพื่อช่วยให้ตัดสินใจรับการรักษาได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
TMS คืออะไร? ทำงานอย่างไร?
TMS คือการใช้คลื่นแม่เหล็กความแรงสูงที่ถูกเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้าขนาดเล็กบนเปลือกสมอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ปรับสมดุลการทำงานของวงจรสมองที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์
- ไม่ต้องผ่าตัด
- ไม่เจ็บ ไม่ต้องใช้ยานอนหลับ
- สามารถกลับไปทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีหลังรักษา
เปรียบเทียบง่าย ๆ: หากสมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์ทำงานลดลง (hypoactivity) คลื่นแม่เหล็กจะช่วยกระตุ้นให้ทำงานดีขึ้น
หลักฐานทางการแพทย์ล่าสุดกล่าวว่าอย่างไร?
ปัจจุบันมี งานวิจัยระดับ systematic reviews และ randomized controlled trials มากกว่า 10 ปี ที่สนับสนุนว่า TMS สามารถลดอาการซึมเศร้าได้อย่างมีนัยสำคัญ
ประเด็นสำคัญจากข้อมูลวิจัย:
TMS ให้ผลดีกว่าการกระตุ้นหลอกๆ (sham stimulation) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
- การกระตุ้นซีกซ้ายของสมองบริเวณ DLPFC แบบความถี่สูง (10 Hz) คือโปรโตคอลมาตรฐาน
- โปรโตคอลแบบ iTBS (intermittent theta-burst) ซึ่งใช้เวลาเพียง 3 นาที ให้ผลไม่ด้อยกว่าการกระตุ้นแบบเดิม
- มีโปรโตคอลแบบใหม่ เช่น Deep TMS, Bilateral TMS และ Accelerated TMS (เช่น SAINT/SNT) ซึ่งกำลังได้รับความสนใจเพราะให้ผลได้เร็วขึ้น
งานวิจัยสมัยใหม่ยังชี้ว่าการควบคุมจุดกระตุ้นด้วย MRI หรือ neuronavigation ทำให้ผลการรักษาแม่นยำขึ้นอีกขั้น
ใครเหมาะกับการรักษาด้วย TMS TMS เหมาะสำหรับผู้ป่วย:
- ที่มีโรคซึมเศร้าระดับปานกลางถึงรุนแรง
- ที่ตอบสนองต่อยาไม่ดี หรือมีผลข้างเคียงจากยา
- ที่ต้องการการรักษาเสริมเพื่อเพิ่มโอกาสให้อาการดีขึ้นเร็วขึ้น
- ที่ต้องการหลีกเลี่ยงยาเพิ่ม หรือกำลังวางแผนตั้งครรภ์
แพทย์จะทำการประเมินความเหมาะสมอย่างละเอียด เช่น ประวัติการรักษา อาการชัก สิ่งแปลกปลอมในศีรษะ และโรคประจำตัว เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยสูงสุด
ความปลอดภัยของการรักษา
- TMS จัดว่าเป็นการรักษาที่มีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงมักไม่รุนแรง เช่น: - ปวดศีรษะเล็กน้อย - รู้สึกตึงหรือกระตุกของกล้ามเนื้อใบหน้าเล็กน้อยระหว่างรักษา - ระคายเคืองหนังศีรษะ
- ภาวะชักเกิดได้น้อยมาก (น้อยกว่า 0.1%) และแทบไม่พบเลยในผู้ที่ผ่านการคัดกรองอย่างเหมาะสมและรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ตารางสรุปโปรโตคอลการรักษาที่ใช้กันทั่วโลก
โปรโตคอล TMS ที่ได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานวิจัย
| โปรโตคอล | ตำแหน่ง | พารามิเตอร์ | ระยะเวลาต่อครั้ง | ความถี่คอร์สรักษา | หมายเหตุ |
| 10 Hz Left DLPFC (มาตรฐานสากล) | ซีกซ้ายบริเวณ DLPFC | 10 Hz / 3,000 pulses / 120% rMT | ~37 นาที | 5 วัน/สัปดาห์ × 4-6 สัปดาห์ | โปรโตคอลที่ FDA รับรองครั้งแรก |
| iTBS (Intermittent Theta Burst) | Left DLPFC | 6001,800 pulses / 50 Hz bursts | 3-10 นาที | 5 วัน/สัปดาห์ × 4-6 สัปดาห์ | ได้ผลไม่ด้อยกว่า 10 Hz |
| 1 Hz Right DLPFC | Right DLPFC | 1 Hz / 1,2001,800 pulses | 20-30 นาที | 5 วัน/สัปดาห์ × 3-4 สัปดาห์ | เหมาะกับผู้ที่ทน HF-left ไม่ได้ |
| Bilateral Sequential | Right + Left DLPFC | 1 Hz (ขวา) + 10 Hz (ซ้าย) | 45-60 นาที | 4-6 สัปดาห์ | กระตุ้นสองข้างแบบต่อเนื่อง |
| Deep TMS (H-coil) | Prefrontal ลึก | 18 Hz / ~1,980 pulses | ~20 นาที | 4-6 สัปดาห์ | กระตุ้นได้ลึกกว่า TMS ปกติ |
| Accelerated / SAINT / SNT | Left DLPFC (MRI-guided) | 1,800 pulses × 10 ครั้ง/วัน | ~10 นาที/ครั้ง | 5 วันติดต่อกัน | ให้ผลเร็วมาก แต่ยังอยู่ระหว่างการศึกษาเพิ่มเติม |
กระบวนการรักษาในแต่ละครั้งเป็นอย่างไร?
ผู้ป่วยมักประหลาดใจว่า TMS เป็นกระบวนการที่เรียบง่ายมาก และไม่ต้องเตรียมตัวพิเศษ
- แพทย์ประเมินและกำหนดตำแหน่งกระตุ้น
- วัดค่า motor threshold เพื่อกำหนดความแรงที่เหมาะสม
- เริ่มการกระตุ้น (ใช้เวลา 340 นาที ขึ้นกับโปรโตคอล)
- ผู้ป่วยสามารถกลับบ้าน ทำงาน หรือขับรถได้ตามปกติทันที
เมื่อไหร่จะเริ่มเห็นผล?
ขึ้นกับโปรโตคอลและลักษณะอาการของผู้ป่วยแต่ละราย - โปรโตคอลมาตรฐาน: เห็นผลใน 24 สัปดาห์ - โปรโตคอลเร่ง (SAINT): บางรายตอบสนองภายใน 15 วัน
อย่างไรก็ตาม การติดตามผลหลังการรักษาถือเป็นหัวใจสำคัญ แพทย์อาจแนะนำการรักษาเสริม เช่น จิตบำบัด การปรับยา หรือ maintenance TMS เพื่อคงผลให้ยาวนานขึ้น
คำแนะนำจากแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู
ในฐานะแพทย์ที่ทำงานกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าด้วย TMS มานานมากกว่า 10 ปี ผมมีข้อแนะนำดังนี้
- เลือกศูนย์ที่มีประสบการณ์ มีระบบคัดกรองที่ดี และมีเครื่องมือได้มาตรฐาน
- การติดตามผลเป็นระยะสำคัญพอ ๆ กับตัวโปรโตคอล การปรับค่าตามการตอบสนองมักช่วยให้ผลลัพธ์ดีขึ้น
- สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อโปรโตคอลพื้นฐาน อาจพิจารณาแนวทางอื่น เช่น bilateral, deep TMS หรือโปรโตคอลเร่ง
- หากกำลังตั้งครรภ์หรือมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความปลอดภัยเพิ่มเติม
ข้อสรุป
TMS เป็นหนึ่งในตัวเลือกการรักษาที่มีความปลอดภัยสูงและมีหลักฐานทางการแพทย์รองรับอย่างชัดเจน เหมาะกับผู้ป่วยที่ต้องการทางเลือกนอกจากยา หรือผู้ที่ตอบสนองต่อยาไม่ดี
ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องและโปรโตคอลใหม่ ๆ เช่น iTBS และ SAINT ทำให้ TMS กลายเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและใช้เวลาน้อยลงเรื่อย ๆ
TMS เป็นวิธีรักษาแบบไม่ใช้ยา ไม่เจ็บตัว และมีโอกาสช่วยให้อาการดีขึ้นได้จริง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้าน TMS เพื่อเริ่มต้นการรักษาแบบใหม่กันครับ
